สำหรับผู้ที่คลุกคลีอยู่กับเด็กบ่อยครั้ง อาจจะเคยพบปัญหาของภาวะสมาธิพร่อง โดยเฉพาะในช่วงวัยประมาณ 7 ปี ส่งผลให้เด็กมีพฤติกรรมที่รอคอยอะไรไม่ได้ ไม่ยอมอยู่เฉยๆ เรียนรู้ได้ช้า วอกแวกง่าย ก็อาจจะคาดเดาได้ว่าเด็กเหล่านี้กำลังมีปัญหากับภาวะสมาธิสั้นอยู่ก็เป็นได้
โรคสมาธิสั้นหรือโรค ADHD
โรคสมาธิสั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มอาการที่มักพบได้ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 7 ปี และพบได้มากในวัยผู้ชายมากกว่าผู้หญิง อาการที่เราจะสามารถสังเกตได้ในเด็กเหล่านี้ก็คือ วอกแวกง่าย มีปัญหาต่อการจดจำสิ่งต่างๆ รอบตัว มีปัญหากับการอยู่นิ่งๆ จึงทำให้เด็กมักจะเคลื่อนไหวไปมาไม่ค่อยหยุดนิ่ง ใจร้อนและไม่สามารถจดจ่ออยู่กับอะไรได้นานๆ เด็กที่ต้องพบเจอกับปัญหาเหล่านี้ มักจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตและส่งผลเสียต่อการเรียนรู้เจริญเติบโตของพวกเขา ส่งผลให้ทักษะต่างๆ ไม่ดำเนินไปตามช่วงวัยอย่างเหมาะสม
หรือผู้ใหญ่บางคนที่ไม่เข้าใจถึงปัญหา ก็อาจจะแสดงออกด้วยการดุด่า ไม่พอใจและตีเด็ก กลายเป็นอาการเก็บกดจนทำให้เด็กกลายเป็นคนเงียบขรึมและชอบปลีกตัวอยู่คนเดียวเมื่อโตขึ้นอาการเหล่านี้ที่เกิดขึ้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเกิดจากกระบวนการทำงานที่ผิดปกติของสารสื่อประสาทภายในสมอง ที่ทำหน้าที่ส่งผ่านข้อมูลจากเซลล์ประสาทหนึ่งๆ ไปยังอีกจุดหนึ่ง ทำให้สมองสั่งงานแปรปรวน เกิดการต่อต้านและยับยั้งข้อมูลบางส่วน ส่งผลให้เด็กเกิดการตัดสินใจที่ช้าลง และประสิทธิภาพของสมองทำงานได้ไม่ดีเมื่อเทียบเท่ากับเด็กทั่วๆ ไป
การรักษาโรคสมาธิสั้นในเด็ก
อาการสมาธิสั้นในเด็กจะต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพ่อแม่จะต้องคอยเอาใจใส่ดูแลต่อทักษะการเรียนรู้ของลูกให้มากขึ้น ร่วมกับการใช้ยาในเด็กบางรายที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ดี โดยยาที่เด็กได้รับจะไม่ค่อยมีผลข้างเคียงกับตัวเด็ก แต่จะช่วยให้เด็กสามารถเข้ากับผู้คนรอบข้างได้มากขึ้น มีการเรียนรู้ที่ดีและใช้ชีวิตได้อย่างปกติเหมือนเด็กทั่วๆ ไปทั้งนี้ ปัญหาของโรคสมาธิสั้นจำเป็นที่จะต้องได้รับความใส่ใจและเข้าใจจากคนรอบข้าง จึงจะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่ดี และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์แข็งแรงในอนาคตได้ และคนที่สามารถเฝ้าระวังไม่ให้เด็กมีปัญหาโรคสมาธิสั้นได้ดีที่สุดก็คือคุณพ่อคุณแม่นั่นเองค่ะ หรือแทบจะเรียกว่าพ่อแม่เป็นภูมิคุ้มกันที่ดีให้ลูกน้อยในทุกโรคเลยก็ว่าได้
เพราะฉะนั้น เด็กๆ ทั้งหลายจะสามารถเติบโตเป็นเด็กที่แข็งแรง มีสมองที่ดีส่งผลให้การเรียนดีเลิศได้นั้นทั้งหมดจึงขึ้นอยู่ที่คุณพ่อคุณแม่ล้วนๆ เลยค่ะ หากคุณใส่เขาดูแลเขาดีเพียงพอรับรองลูกน้อยของคุณเขาจะกลายเป็นคนละคนเลยทีเดียว