ศูนย์สมุนไพรพระยาอภัยภูเบศร ได้เปิดเผยให้ทราบถึงงานวิจัยจากทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันไว้ว่า การที่เราทานอาหารที่ให้สารต่อต้านอนุมูลอิสระในสัดส่วนที่เหมาะสมเพียงพอจะช่วยต่อต้านแสงแดดได้เป็นอย่างดี และช่วยปกป้องไม่ให้ผิวหมองไหม้ได้ด้วย โดยเฉพาะสารอาหารที่ดีอย่างเบต้าแคโรทีนที่สามารถพบได้มากในพืชผักใบเขียว พริก พริกหยวก แครอทและบรรดาผลไม้สีเหลืองต่างๆ เช่น มะม่วง แตงโม แคนตาลูป สับปะรดและมะละกอ เป็นต้น แต่ต้องทานเป็นเวลาอย่างน้อย 10 สัปดาห์ขึ้นไป
นอกจากนี้ อาหารที่ให้สารไลโคปีนซึ่งเป็นสารอีกชนิดหนึ่งในกลุ่มของแคโรทีนอยด์ก็มีส่วนในการช่วยปกป้องผิวไม่ให้ไหม้แดดได้เช่นกัน แต่จะต้องทานติดต่อกันเป็นเวลาต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไปจึงจะเห็นผล โดยพบได้จากมะเขือเทศและฟักข้าว อีกทั้งยังสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยเฉพาะในฟักข้าวด้วยแล้วยิ่งพบว่ามีสารไลโคปีนชนิดพิเศษที่เรียกว่า ไลโปแคโรทีน (Lipocarotene) เป็นกรดไขมันชนิดยาวที่มีคุณสมบัติช่วยในการดูดซึมสารเบต้าแคโรทีน ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าฟักข้าวจึงเป็นแหล่งของไลโคปีนที่ดีเยี่ยมที่สุด
ทั้งนี้ ไม่เพียงแค่ในมะเขือเทศและฟักข้าวแต่เพียงเท่านั้นนะคะที่พบว่ามีสารไลโคปีน เพราะในบรรดาผักผลไม้ประเภทอื่นๆ ก็ยังพบว่าอุดมด้วยสารไลโคปีนเช่นเดียวกัน เช่น มะละกอ 1 ผล (304 กรัม) มีไลโคปีน 5,557 ไมโครกรัม แตงโม 1 ชิ้น (286 กรัม) มีไลโคปีน 12,962 ไมโครกรัมแครอท 1 ผล (72 กรัม) มีปริมาณไลโคปีน 1 ไมโครกรัมและมะม่วง 1 ผล (207 กรัม) มีไลโคปีน 6 ไมโครกรัม ขณะเดียวกัน ชาเขียวก็ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากซึ่งสารนั้นชื่อว่า โพลีฟีนอล (Pholyphenols) มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถปกป้องผิวหนังจากแสงแดดไม่ให้ทำลายผิวได้ดีเช่นเดียวกัน ชาเขียวจึงเป็นพืชพรรณอีกชนิดหนึ่งที่ถูกสกัดเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อป้องกันรังสียูวี
ดังนั้น ชาเขียวจึงช่วยป้องกันแสงแดดได้ดีไม่แพ้ผักผลไม้ชนิดดังกล่าว ผู้ที่สนใจสามารถรับสารจากชาเขียวได้ทั้งจากการดื่มและการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมจากชาเขียวได้เลยค่ะ และที่น่าสนใจไปกว่านั้นในงานวิจัยยังพบอีกว่าชาเขียวยังช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้เป็นอย่างดีอีกด้วยนะคะ
แต่การเลือกทานอาหารเหล่านี้ก็เป็นเพียงช่องทางหนึ่งที่ช่วยบรรเทาความเสี่ยงในการถูกแสงแดดทำลายผิว ทางที่ดีแนะนำให้คุณทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไปเพื่อป้องกันผิวไหม้จากแดดอีกทางหนึ่งดีกว่า และควรหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดโดยตรง ควรกางร่ม สวมหมวก แว่นตากันแดดและเสื้อคลุมเพื่อให้การปกป้องแสงแดดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่ทำให้เราเสี่ยงในการเป็นโรคลมแดดหรือโรคไข้แดดได้อีกด้วย ที่สำคัญไปกว่านั้นหากสามารถหลีกเลี่ยงแดดได้ คุณควรเลี่ยงการเผชิญแสงแดดในเวลา 10.00-16.00 น.จะดีที่สุด เพราะแสงแดดในเวลาดังกล่าวค่อนข้างร้อนแรงอย่างมากนั่นเองค่ะ