อาการปวดหัวแบบตื้อปกติเมื่อเกิดขึ้นก็นับว่าทรมานและรุนแรงเกินพอแล้วจริงมั้ยคะ แต่หากจู่ๆ ดันปวดไมเกรนขึ้นล่ะ อาการนี้เห็นทีจะเป็นหนักมากกว่าปกติแน่นอน เพราะเมื่อเป็นแล้วอาจจะถึงขั้นหนักหนาจนคลื่นไส้ อาเจียน ไข้ขึ้นและบางรายถึงกับต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลนานหลายวันเลยทีเดียว เพื่อให้สุขภาพร่างกายของเราแข็งแรง ใครที่ไม่อยากป่วยเป็นไมเกรน วันนี้เรามีดูคำแนะนำเพื่อป้องกันและรับมืออาการของไมเกรนกันดีกว่า
สาเหตุของไมเกรน
ยังไม่มีการค้นพบสาเหตุที่แน่ชัดเพราะไม่ได้เกิดจากความผิดปกติภายในร่างกายหรือสมอง แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะทำให้สารเคมีในสมองเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดและกลไกประสาทภายในสมองและใบหน้า เมื่ออาการเกิดขึ้นจะก่อให้หลอดเลือดภายในกระโหลกศีรษะมีการหดตัว ขณะที่หลอดเลือดภายในนอกกระโหลกศีรษะเกิดการพองตัว อีกทั้งประสาทสัมผัสทั้ง 5 จะไวต่อสิ่งกระตุ้นให้ยิ่งเจ็บปวดยิ่งขึ้น
สิ่งกระตุ้นจากประสาทสัมผัส
ทางตา –ได้รับแสงแดดจ้าหรือมีแสงระยิบระยับ การใช้สายตาเพ่งมากเกินไปกับแสงจ้าต่างๆ เช่น หน้าจอคอมพิวเจอร์หรือแม้แต่การอ่านหนังสือนานๆ เป็นต้น
ทางหู – การได้ยินเสียงดังจอแจซึ่งรบกวนประสาทการทำงานของการได้ยินที่มากเกินไป
ทางจมูก – กลิ่นที่ไม่บริสุทธิ์ต่างๆ เช่น กลิ่นควันบุหรี่และกลิ่นน้ำหอม
ทางลิ้น – อาหาร ได้แก่ เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล ไส้กรอก หมูแฮม กล้วย ส้ม ถั่ว ช็อกโกแลต ผงชูรส น้ำตาลเทียม- แอสพาร์เทม (aspartame)กาแฟ ชาและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น รวมถึงยาบางชนิดอย่างยาคุมกำเนิดและยานอนหลับ
ทางกาย – เกิดจากอากาศรอบตัวอบอ้าวร้อนจัดเย็นจัดหิวกระหาย นอนไม่พอ นอนมากเกินไป ร่างกายอ่อนเพลีย อาการของประจำเดือน ไข้สูง รวมทั้งอาการเจ็บปวดต่างๆ จากร่างกายที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดได้ เช่น ปวดประจำเดือนและปวดฟัน
ทางใจ – ความคิด ความกังวลใจต่างๆ และอาการซึมเศร้าของสภาวะจิตใจ
การรักษาอาการปวดไมเกรนเบื้องต้น
1. ทานยาบรรเทาปวด – เมื่อมีอาการปวดในระยะแรกให้รีบทานยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการปวดครั้งละ 1-2 เม็ด ไม่ควรปล่อยให้มีอาการปวดนานเกิน 30 นาที สำหรับผู้ที่ปวดเป็นประจำแนะนำให้พกยาติดตัวไว้ทานทันทีที่มีอาการเสมอ เพื่อที่จะได้ช่วยระงับอาการปวดได้ทันหรือช่วยให้อาการได้บรรเทาลงมากกว่าผู้ที่ปล่อยให้ปวดเป็นเวลานาน
2. นอนพักทันที – หลังจากทานยาแล้วให้รีบพาตัวเองนอนพักหรือหามุมสงบๆ ผ่อนคลายทันทีเพื่อระงับไม่ให้อาการถูกกระตุ้นจนเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น
3. หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่เป็นสิ่งกระตุ้น – ไม่ว่าจะเป็นอากาศที่ร้อนอบอ้าว ทำให้หายใจไม่ออก แสงแดดจัดจ้าหรือบริเวณสถานที่ที่มีเสียงดัง ควรหยุดกิจกรรมที่ต้องทำบริเวณดังกล่าวแล้วพาตัวเองมาหามุมสงบๆ ผ่อนคลายให้เร็วที่สุด แม้กระทั่งการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างการยกของหนักหรือแม้แต่การเดินขึ้นบันไดก็ตาม เพราะอาจทำให้คุณเป็นลมวูบลงโดยไม่รู้ตัวได้ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการคลื่นไส้มาก แนะนำให้ทานยาแก้คลื่นไส้อาเจียนตามคำแนะนำจากแพทย์ที่จ่ายยาควบคู่กัน
การป้องกันโรคไมเกรน
วิธีแรก – ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและนอนพักผ่อนให้เพียงพอ นอกจากนี้ ควรทำใจให้สบาย ปล่อยวางจากความเครียดกังวลต่างๆ อันจะยิ่งส่งผลให้สภาพจิตใจแย่หนักขึ้นและเกิดภาวะของโรคไมเกรนขึ้นได้
วิธีที่สอง – ทานยาป้องกันไมเกรน เมื่อคุณไปพบแพทย์เพื่อรักษาแพทย์จะจัดยาป้องกันให้ก็ต่อเมื่อคุณมีอาการปวดบ่อยมาก เช่น ปวดมากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ยาป้องกันไมเกรนนี้มีอยู่ด้วยกันหลายชนิดและมีผลข้างเคียงแตกต่างกันไป ดังนั้น แพทย์จึงต้องเลือกจ่ายยาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วยในแต่ละรายไป สำหรับผู้ป่วยที่รักษาตัวด้วยยาไมเกรนเช่นนี้ แนะนำให้ทานยาป้องกันไมเกรนต่อเนื่องจนอาการสงบลงเป็นเวลานาน 6-12 เดือนจึงหยุดยาได้และหากมีอาการกำเริบอีกจึงค่อยกลับมาทานใหม่ตามคำแนะนำจากแพทย์ผู้ตรวจค่ะ
อย่างไรก็แล้วแต่ แม้ว่าอาการปวดไมเกรนจะรุนแรงตามสภาพแวดล้อมหรือสิ่งกระตุ้นต่างๆ แต่ผู้ที่สามารถรับมือป้องกันเพื่อบรรเทาอาการได้ดีเยี่ยมที่สุดก็คือตัวเราเอง ดังนั้น คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการเริ่มต้นดูแลสุขภาพให้ดีตั้งแต่ตอนนี้ โดยนอนพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำและทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ อีกทั้งไม่ควรเครียดด้วย เท่านี้ก็ย่อมช่วยป้องกันอาการไมเกรนกำเริบได้มากแล้วค่ะ