สาเหตุหลักของการมีผิวคล้ำเสีย ตามมาด้วยฝ้า กระ จุดด่างดำและริ้วรอยก่อนวัย นั่นก็คือ ผิวของเราได้รับการทำร้ายจากแสงแดดนั่นเอง เนื่องจากในแสงแดดมีทั้งรังสี UVA และ UVB อันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวสาวๆ คล้ำเสียจากแดดง่าย และยังนำมาซึ่งปัญหาผิวต่างๆ ได้อย่างใจหาย
ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่อาจมองข้ามการทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันแน่นอน แต่ก่อนที่สาวๆ จะเลือกใช้ครีมกันแดดนั้น คุณมั่นใจดีแล้วหรือยังคะว่าครีมกันแดดที่เลือกใช้ เลือกได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับสภาพผิว กับกิจกรรมในระหว่างวัน และค่า SPF แบบไหนที่ควรเลือกใช้ หากใครมีข้อสงสัยเรื่องเหล่านี้ ตามมาดูรายละเอียดดีๆ เกี่ยวกับการเลือกใช้ครีมกันแดดอย่างถูกต้องไปพร้อมๆ เรากันดีกว่าค่ะ
การทำงานของครีมกันแดด
ครีมกันแดดมีส่วนผสมสำคัญซึ่งจะทำหน้าที่ปกป้องรังสี UV ไม่ให้ทำลายผิว โดยการดูดซับรังสีและป้องกันแสงจากรังสีไม่ให้ทะลุผ่านไปถึงชั้นผิว หรือเกิดกระบวนการที่จะทำให้รังสี UV แตกกระจายตัวออกไปเพื่อไม่ให้เข้ามาทำร้ายผิวหนังของเราโดยตรง
รังสี UVA มีผลทำให้ผิวหน้าคล้ำเสียง่ายและยังส่งผลทำให้ผิวเกิดริ้วรอยแก่ก่อนวัย เพราะฉะนั้น หากสาวๆ ออกจากบ้านไปตากแดดแล้วพบว่าผิวคล้ำเสีย สาเหตุก็เพราะรังสี UVA
รังสี UVB Burning ส่งผลให้สภาพผิวหนังมีปัญหาไหม้แดดหรือเกรียมแดด เช่น กรณีไปนอนอาบแดดแล้วผิวไหม้ ผิวเกรียมกลับมา สาเหตุก็เนื่องจากรังสี UVB
ค่า SPF คืออะไร?
SPF ย่อมาจาก ก่อนเลือกใช้ครีมกันแดดป้องกันรังสี UV สาว ๆ รู้จักครีมกันแดดดีแล้วหรือยัง? เป็นค่าในการปกป้องแสงแดด โดยถูกกำหนดขึ้นด้วยระบบของ SPF ส่วนใหญ่แล้วเราจะคำนวนปริมาณจากการป้องกันรังสี UVB โดยตัวเลขของ SPF นั้นสามารถบ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการปกป้องผิวไม่ให้ได้รับการทำลายจากแสงแดดจนมีสภาพไหม้แดดได้เป็นระยะเวลานานเท่าไร เช่น ค่า SPF 15 ซึ่งหมายถึง การปกป้องผิวจากการไหม้แดดได้ 15 เท่า หากปกติแล้ว สาวๆ ออกไปเผชิญแสงแดดโดยไม่ได้ทาครีมกันแดดเลยผิวก็จะไหม้แดดได้ภายในเวลา 20 นาที แต่หากทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 ระยะเวลาที่ผิวไหม้แดดจะร่นระยะเวลาออกไปเป็น 15 เท่าของ 20 นาที หรือประมาณ 300 นาที ซึ่งก็คือ 5 ชั่วโมงนั่นเอง ผิวของคุณจึงจะไหม้แดดได้
จำเป็นไหม? ที่ต้องเลือกครีมกันแดดค่า SPF สูง
อันที่จริงแล้ว การเลือกทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ไม่ได้หมายความนะคะว่าจะสามารถป้องกันแสงแดดได้ดีกว่าค่า SPF ที่น้อยกว่า เพราะตามหลักความเป็นจริงแล้ว ครีมกันแดด SPF สูงจะยิ่งก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวหนังได้ โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาผิวแพ้ง่าย อีกทั้งยังมีแนวโน้มด้วยว่าอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่จะทำให้ผิวของเราแพ้ มีผดผื่นคันตามมา นอกจากนี้ ยังส่งผลทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ เกิดรอยด่างๆ และอาจทำให้เสื้อผ้าเลอะเป็นคราบเหลืองจากครีมกันแดดได้อีกด้วยค่ะ
PA คืออะไร?
PA คือ ค่าที่ใช้วัดในการป้องกันรังสี UVA โดย PA นั้นย่อมาจากคำว่า Protection Grade of UVA ทว่ายังไม่มีหน่วยวัดที่เป็นมาตรฐานสำหรับการวัดค่าของการดูดซึมรังสี UVA ดังนั้น จึงถือเอาคำว่า PA มาใช้เป็นหน่วยวัดรังสี UVA อย่างไม่เป็นทางการเท่าใดนัก และค่า PA นั้นก็สามารถแบ่งได้ด้วยกัน 3 ระดับก็คือ PA+, PA++ และ PA+++
PA+ เหมาะสำหรับผู้ที่ทำกิจกรรมทั่วไป อยู่ในร่ม ในบ้าน อาคาร ออฟฟิศ เรียกว่าไม่ค่อยได้เจอแสงแดดมากเท่าใดนัก
PA+++ เหมาะสำหรับผู้ที่มีกิจกรรมกลางแจ้ง ต้องออกแดดนานหรือออกแดดบ่อย จำเป็นอย่างมากที่ผิวจะต้องได้รับการป้องกันรังสีสูง
และหากใครที่มีกิจกรรมกลางแจ้ง ต้องออกแดดเป็นเวลานานมากหลายชั่วโมง ก็ควรเลือกทาครีมกันแดดที่มีค่า PA++ หรือสูงมากกว่านี้จะดีที่สุด เพื่อให้การปกป้องผิวได้อย่างเต็มประสิทธิภาพยาวนาน
หลักการเลือกซื้อครีมกันแดดอย่างเหมาะสม ควรพิจารณาจากอะไรบ้าง?
เนื่องจากแสงแดดร้อนแรงอย่างมากในทุกๆ วัน สาวๆ เราก็ย่อมมิอาจหลีกเลี่ยงการทาครีมกันแดดไปไม่ได้แน่นอน ว่าแต่สำหรับมือใหม่ที่กำลังหันมาใส่ใจทาครีมกันแดด เราจะมีหลักในการเลือกซื้อครีมกันแดดอย่างไรบ้าง จุดนี้หลายคนอาจมีข้อสงสัยเพราะมีครีมกันแดดมากมายหลายยี่ห้อให้เลือกใช้ ซึ่งอันที่จริงแล้ว หลักการเลือกซื้อครีมกันแดดที่ดี เหมาะสม เราควรพิจารณาถึงประสิทธิภาพของการป้องกันแสงแดด โดยดูได้จากค่า SPF (sun protection factor)
สาวๆ ควรทำความเข้าใจก่อนว่า แสงแดดมีรังสี UV ด้วยกัน 2 ชนิด คือชนิด UVA และ UVB สำหรับรังสี UVA นั้นเป็นรังสีที่มีอยู่ในแสงแดดตลอดทั้งวัน โดยเริ่มมีตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก ซึ่งรังสี UVA เป็นตัวการที่ทำให้เกิดริ้วรอยต่างๆ ทำให้แก่ก่อนวัย ประการสำคัญที่คุณควรรู้คือ แม้คุณไม่ได้ออกไปเผชิญแสงแดด แม้นั่งทำงานอยู่ตรงริมหน้าต่างก็ตาม คุณก็มีโอกาสได้รับแสงรังสี UVA ที่สาดส่องเข้ามายังริมหน้าต่างได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงควรทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสี UVA ในขณะที่รังสีอีกชนิดหนึ่งก็คือ รังสี UVB ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวหมองคล้ำและไหม้แดดโดยรังสีนี้จะส่งผลให้เห็นภายในระยะเวลา 24-48 ชั่วโมง
ปกติแล้ว การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF จะให้การปกป้องแสงแดดได้เฉพาะรังสี UVB เท่านั้น ไม่สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ เพราะฉะนั้น หลักการพิจารณาเลือกซื้อครีมกันแดดที่ดี สาวๆ จึงควรเลือกครีมกันแดดประเภทที่มีคุณสมบัติสามารถให้การป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB โดยอ่านจากฉลากรายละเอียดที่ระบุบนตัวผลิตภัณฑ์นั่นเอง
เลือกค่า SPF ของครีมกันแดด แบบสูงหรือต่ำ เลือกใช้แบบไหนจะดีกว่ากัน?
ในความเป็นจริงแล้ว การเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปนั้นจะให้ฤทธิ์ในการป้องกันรังสีแตกต่างกันน้อยมาก โดยค่า SPF 15 มีคุณสมบัติป้องกันรังสี UVB ได้ 93% SPF 30 สามารถป้องกันได้ 97% ขณะที่ค่า SPF 50 ขึ้นไป สามารถป้องกันได้ 98% จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะฉะนั้น สาวๆ จึงอาจไม่มีความจำเป็นเลยก็ได้ที่คุณจะต้องเลือกใช้ครีมกันแดดค่า SPF สูงๆ เสมอไป
ครีมกันแดดที่ดีจะต้องเข้ากันได้กับสภาพผิว
หลักการเลือกใช้ครีมกันแดดที่ดีอีกประการหนึ่งก็คือ ครีมกันแดดที่ดีนั้นต้องมีคุณสมบัติเข้ากันได้กับสภาพผิวของเรา เมื่อทาแล้วเนื้อครีมกันแดดย่อมสามารถกระจายตัวได้เป็นอย่างดี ไม่ก่อให้เกิดคราบเหนียวเหนอะหนะ ซึ่งในปัจจุบันก็มีครีมกันแดดด้วยกันหลากหลายยี่ห้อ ได้แก่ ประเภทเนื้อครีม เนื้อเจล เซรั่ม หรือโลชั่น แต่ละประเภทล้วนเหมาะกับสภาพผิวแต่ละคนแตกต่างกัน โดยเฉพาะสาวผิวมัน แนะนำให้เลือกทาครีมกันแดดประเภทเนื้อเจลหรือเซรั่มจะเหมาะสมกว่า เพื่อให้เนื้อครีมสามารถซึมซาบลงสู่ผิวโดยไม่ทิ้งคราบเหนียวเหนอะหนะ และยังลดความเสี่ยงต่อการอุดตันในรูขุมขนได้อีกด้วย
วิธีทาครีมกันแดดอย่างถูกต้อง
1.ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน แม้ในวันฝนตกหรือแดดออกก็ตาม โดยเฉพาะในวันที่ไม่มีแสงแดด รังสี UV ก็ยังมีอิทธิพลร้ายแรง โดยสามารถทะลุผ่านเมฆและทำลายผิวเราได้อย่างง่ายดายเช่นเดิม
2.ครีมกันแดดที่เปิดใช้งานแล้วมักมีอายุการใช้งานนับจากวันเปิดใช้ 1 ปีเท่านั้น หากเกินกว่า 1 ปีแล้ว ยังใช้ครีมกันแดดไม่หมด แนะนำให้ทิ้งไปอย่าเสียดาย แล้วซื้อครีมกันแดดตัวใหม่มาใช้แทนจะดีที่สุด เพราะหากยังใช้ต่อไป นอกจากประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดที่ลดลงแล้ว ครีมกันแดดที่หมดอายุการใช้งานเร็ว ทั้งสีและกลิ่นอาจส่งผลทำให้ผิวแพ้ จนเกิดอาการระคายเคืองผิวตามมาได้
3.ในวันธรรมดาที่ไม่ได้มีกิจกรรมกลางแจ้ง ควรเลือกใช้ครีมกันแดดค่า SPF อย่างน้อย 15 และหากมีกิจกรรมกลางแจ้ง แนะนำให้เลือกใช้ค่า SPF 30 ขึ้นไป ส่วนเด็กอายุมากกว่า 6 เดือน ควรใช้ครีมกันแดด SPF 50 ส่วนทารกที่มีอายุน้อยกว่า 6 เดือน ไม่ควรทาครีมกันแดดและควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจะดีที่สุด
4.ปริมาณในการใช้ครีมกันแดดนับเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก เพราะมันมีผลในการช่วยป้องกันแสงแดด ซึ่งสามารถปกป้องได้อย่างเต็มประสิทธิภาพหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับปริมาณในการใช้ด้วยนั่นเอง ดังนั้น จึงควรทาครีมกันแดดให้เพียงพอเหมาะสมกับผิวทั่วทั้งร่างกาย เนื่องจากครีมกันแดดมีราคาแพง สาวๆ หลายคนกลัวว่าครีมจะหมดเร็ว ทำให้สิ้นเปลืองเงินมากจึงคิดว่าทาน้อยๆ เป็นการประหยัดจะดีกว่า หารู้ไม่ว่าประสิทธิภาพในการปกป้องแสงแดดอาจลดลง และอาจทำให้สีผิวสาวๆ ไม่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ ยังควรใส่ใจทาผิวบริเวณที่ถูกแสงแดดเผาได้ง่าย อย่างเช่น จมูกและหลังเท้า เป็นต้น
5.ควรทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านอย่างน้อย 20-30 นาที เพื่อให้เนื้อครีมซึมซาบลงสู่ผิวได้อย่างล้ำลึกเต็มที่ก่อน และควรทาซ้ำทุก 90 นาทีถึง 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะผู้ที่มีกิจกรรมกลางแจ้ง และหากผิวโดนน้ำหรือมีเหงื่อออกก็ควรรีบทาครีมกันแดดซ้ำทันที
ครีมกันแดดชนิดกันน้ำ เหมาะสมกับใคร?
สำหรับครีมกันแดดชนิดกันน้ำนั้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องออกกำลังกายอย่างการว่ายน้ำ หรือผู้ที่มีกิจกรรมใดๆ ก็ตามที่อาจโดนน้ำอยู่บ่อยๆ โดยก่อนเลือกซื้อ คุณควรอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ที่มีคำว่า “waterproof” ระบุอยู่ ซึ่งครีมกันแดดชนิดนี้มีคุณสมบัติในการปกป้องผิวได้ยาวนานประมาณ 80 นาที แต่หากครีมกันแดดชนิดใดที่มีระบุคำว่า “water resistant” นั่นแปลว่ามันสามารถให้การปกป้องผิวจากรังสี UV ได้ประมาณแค่ 40 นาทีเท่านั้น และอีกสิ่งหนึ่งที่คุณควรรู้ก็คือ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดแบบสเปรย์ เมื่อถูกน้ำจะสามารถหลุดออกได้ง่ายและหลุดออกรวดเร็วกว่าการทาครีมกันแดดประเภทเนื้อครีมหรือโลชั่นอีกด้วย เพราะฉะนั้น ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดแบบสเปรย์ (ฉีดพ่น) จึงไม่เหมาะสมกับผู้ที่มีกิจกรรมทางน้ำหรือต้องโดนน้ำบ่อยๆ
หลังจากที่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับครีมกันแดดอย่างครบวงจรแล้ว สาวๆ ควรรู้ไว้ว่าการป้องกันแสงแดดทำร้ายผิวเราได้ดีมากที่สุด ก็คือการพยายามหลบเลี่ยงการเผชิญแสงแดดนั่นเอง เพราะแสงแดดทุกวันนี้ร้อนแรงอย่างมาก ก่อให้เกิดผิวเสียได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
แนะนำให้คุณปกป้องผิวด้วยการสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด สวมหมวกปีกกว้าง แว่นตากันแดดและกางร่มทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เท่านี้ก็จะช่วยลดโอกาสที่แสงแดดจะทำร้ายผิวเราจนเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังได้มากขึ้นแล้วค่ะ